เคยมีคำกล่าวว่า “นักธุรกิจคนใดที่ไม่เครียด แสดงว่า เขายังไม่ได้ทุ่มเทให้กับบริษัทของตัวเองมากเพียงพอ”
ความเครียดเป็นศัตรูตัวร้ายของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน แต่หากให้ลดความเครียดลงด้วยการไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้ชีวิตผ่านไปอย่างไร้ค่า ก็คงไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องนัก
สิ่งที่ดีกว่า คือ การเรียนรู้วิธีสร้างความสุขให้ชีวิตแบบง่ายๆ เมื่อร่างกายและจิตใจผ่อนคลายแล้ว เราก็จะฟื้นฟูเรี่ยวแรงและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อกลับมาเอาชนะคู่แข่งได้ดีกว่าเดิม
1. ความสุขในการทำสิ่งเล็กๆ ให้งอกงาม (Small Thing)
คิดใหญ่ ทำใหญ่ ย่อมไม่ใช่เรื่องผิด แต่บางครั้งการหมกมุ่นแต่สิ่งใหญ่ๆ ก็อาจกลายเป็นหายนะได้ เพราะทำให้เราคิดไม่รอบคอบ หรือละเลยรายละเอียดที่สำคัญบางประการไป จนกระทั่งต้องพบกับความล้มเหลวในท้ายที่สุด
นักธุรกิจที่ฉลาด จึงมักจะแสวงหางานอดิเรกเล็กๆ เป็นเครื่องผ่อนคลายจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ การเดินทางท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งการอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม
แม้จะทำสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานโดยตรง แต่เมื่อจิตใจมีความสุขแล้ว ก็ย่อมทำให้ฉุกคิดถึงกลยุทธ์หรือการแก้ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ทางธุรกิจได้ นี่คือ ภูมิปัญญาที่ไม่ควรมองข้าม
เมื่อธุรกิจกำลังเข้าสู่ช่วงชี้เป็นชี้ตาย เรามักละเลยกิจกรรมธรรมดาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารเช้า การนอนหลับอย่างเพียงพอ หรือแม้กระทั่งการแบ่งเวลา 30 นาทีหลังเลิกงาน เพื่อไตร่ตรองถึงสิ่งที่ได้ทำในแต่ละวัน
อย่างไรก็ตาม การประหยัดเวลาเพียงเล็กน้อย จากการยกเลิกกิจกรรมประจำวันเหล่านั้น ก็อาจไม่ได้มีส่วนช่วยต่อธุรกิจมากเท่าใดนัก เพราะหากกลยุทธ์ที่เราวางไว้ผิดพลาด ต่อให้พยายามมากแค่ไหนก็คงเปล่าประโยชน์
แต่ถ้าเราใช้เวลาในการทำสิ่งเล็กๆ อย่างเช่น การรับประทานอาหารเช้าให้ดีที่สุด ทุ่มเทกับรสละมุนของอาหารที่อยู่ตรงหน้า โดยปล่อยวางเรื่องราวหนักหัวของธุรกิจเอาไว้ก่อน ก็ไม่แน่เหมือนกันว่า นี่อาจเป็นมื้ออาหารเล็กๆ ที่มีค่าที่สุดในโลกก็ได้ เพราะมันทำให้เรามองเห็น “ฟันเฟืองเล็กๆ” ที่เมื่อเติมเข้าไปแล้วจะทำให้ธุรกิจของเราประสบความสำเร็จได้
2. ความสุขจากการอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง (Silence)
“การระดมสมอง” ย่อมเป็นวิธีแก้ปัญหาทางธุรกิจซึ่งเป็นที่นิยมกัน เพราะมีความเชื่อว่าหลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราได้รับข้อมูลและความคิดจากหลากหลายกลุ่มคนแล้ว สิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือ การตัดสินใจว่าจะเชื่อแนวคิดใดมากกว่ากัน หรือจะผสมผสานแนวคิดทั้งหลายให้กลายเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร
การอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง จึงอาจเป็นวิธีการหนึ่ง ที่จะช่วยให้นักธุรกิจครุ่นคิดสิ่งต่างๆที่รับเข้ามาจากผู้คนที่หลากหลายได้ดียิ่งขึ้น
ในแต่ละวัน เราย่อมมีเวลาที่ได้อยู่เงียบๆ คนเดียว
หากทว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ทำให้สมองและประสาทสัมผัสของเราต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นภาพเคลื่อนไหวจากโทรทัศน์ เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ เสียงทักทายจากหน้าจอ Facebook หรือแม้กระทั่งความคิดเห็นจากเพื่อนร่วมงานที่เราได้ยินในเช้าวันนั้น ก็ได้สร้างอิทธิพลให้เราต้องกลับมาคิดวุ่นวาย
หากเราตัดสินใจ “ปิด” สิ่งรบกวนทั้งหลายนี้เพียง 1 ชั่วโมง ในยามที่เราอยู่เพียงลำพังได้ เราก็จะเข้าสู่ห้วงสมาธิที่ล้ำลึก ซึ่งจะทำให้จิตใจของเราเป็นอิสระอย่างแท้จริง และเมื่อนั้นปัญญาที่ฝังอยู่ในตัวเราก็จะค่อยๆ ผุดขึ้น และลุกขึ้นมาช่วยเราแก้ปัญหาทั้งมวล
การอยู่เพียงลำพัง นอกจากช่วยให้เรามีจิตอิสระในการไตร่ตรองปัญหาแล้ว ยังทำให้เรามีความสุขจากการได้ผ่อนคลายจากสิ่งรบกวนทั้งหลายอีกด้วย
3. ความสุขจากความล้มเหลว ที่ทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ (Fail)
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า “อาการหวาดกลัวความล้มเหลว” เป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของความเครียดในโลกยุคนี้
บางครั้ง เรายังไม่ทันได้ล้มเหลวเลย แต่ความหวาดกลัวและคิดไปล่วงหน้า ก็ยังทำให้เรากินไม่ได้นอนไม่หลับแล้ว ยิ่งในยุคซึ่งเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเช่นนี้ ความล้มเหลว (Fail) จึงกลายเป็นสิ่งธรรมดาไปแล้ว เพราะผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมล้นหลามในปีนี้ ก็อาจกลายเป็นสิ่งล้าสมัยในปีหน้า
วิธีรับมือกับความล้มเหลวให้ดีที่สุด ก็คือ การมองหาโอกาสและความสุขจากความล้มเหลวในแต่ละครั้ง
ความล้มเหลว ย่อมเป็นข้ออ้างที่ดีในการเรียกร้องความเห็นใจจากคนรอบข้าง เราจะได้รับคำปลอบโยนและคำแนะนำดีๆ มาเต็มคันรถ เรายังได้โอกาสในการโทรไปรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับเพื่อนเก่าที่ห่างหายไปนาน บางทีนี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่เราจะโทรไปขอคำปรึกษากับคนที่เราแอบชอบอยู่ก็ได้
ในเมื่อความล้มเหลวเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติในยุคนี้ ดังนั้น จึงไม่ใช่มีเพียงแต่เราที่ล้มเหลว คนอื่นก็ย่อมเป็นเช่นกัน นี่เท่ากับเป็นโอกาสที่ทำให้เราสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อแย่งชิงลูกค้ามาจากคู่แข่งของเราได้ ยังไม่นับการเข้าไปเปิดตลาดใหม่ๆ จากความรู้ที่เราได้รับจากผลิตภัณฑ์ตัวเก่าที่ล้มเหลวไป
แม้ว่าความล้มเหลวไม่ใช่สิ่งที่เราจะมีความสุขกับมันได้ง่ายๆ แต่หากเราฝึกฝนตัวเองทีละน้อยให้เคยชินกับมัน โดยพยายามเรียนรู้และมองหาโอกาสจากทุกความล้มเหลวที่ผ่านเข้ามา เราก็จะเริ่มค้นพบข้อดีและมีความสุขกับมันได้เพิ่มขึ้น