“ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด” ผู้ดำเนินงานโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ “ไทยแลนด์พริวิเลจ คาร์ด” หรือ ไทยแลนด์ อีลิทคาร์ด แถลงผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2560 ยอดขายเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้กว่า 16.5% สามารถทำรายได้เพิ่มมากขึ้นกว่า 47% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว พร้อมประกาศอย่างมั่นใจตัวเลขครึ่งปีหลังฉลุย หลังได้ลงนามความร่วมมือกับ“เฮนลีย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์สฯ”เป็นที่เรียบร้อย เพราะจะทำให้มีอีก 28 ออฟฟิศทั่วโลกของ เฮนลีย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์สฯ มาช่วยขาย และเมื่อรวมกับตัวแทนขายเดิม21 ราย เท่ากับ “ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด”จะมีตัวแทนขายกระจายอยู่ทั่วโลกถึง 49 รายพร้อมเดินสายโรดโชว์เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว-นักลงทุนต่างชาติ กระตุ้นการท่องเที่ยวดึงเม็ดเงินต่างชาติระยะยาว
นายพฤทธิ์ บุปผาคำ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (ทีพีซี) กล่าวว่า ไทยแลนด์ อีลิทฯ ได้ตั้งเป้ารายได้ของปีงบประมาณ 2560 ไว้ที่ 400 ล้านบาท ซึ่งเป็นการตั้งเป้าเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว (ปี 2559) ประมาณ 15% ซึ่งหากพิจารณาครึ่งปีแรกของการดำเนินงาน (ตุลาคม 2559-มีนาคม 2560) หรือครึ่งทางจากเป้า 400 ล้านบาท ก็คือ 200 ล้านบาท แต่ปัจจุบันทางไทยแลนด์ อีลิทฯ (1 ตุลาคม 2559-31 มีนาคม 2560) สามารถทำเป้ายอดขายได้ที่ 233 ล้านบาท เท่ากับว่าสามารถทำรายได้ในภาพรวมเกินเป้ายอดขายที่ตั้งไว้ กว่า 16.5% และถ้าเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559 สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นมากว่า 47% ซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้อีกทางหนึ่ง เนื่องจากสมาชิกบัตรฯเหล่านี้จะเข้ามาใช้บริการจากภาคเอกชนไม่ว่าจะเป็น สนามกอล์ฟ โรงพยาบาล สปา ร้านอาหาร โรงแรม และอื่นๆ นอกจากนี้สมาชิกฯยังมีการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดในประเทศไทยทั้งนั้น ซึ่งเป็นการสร้างผลประโยชน์ให้ทางภาคธุรกิจเอกชนของไทยอีกด้วย
“ยอดขายในครึ่งปีแรกนี้จะมาจากตัวแทนขายที่มีอยู่ 21 ราย และการขายผ่านทางทีพีซีโดยตรง โดยครึ่งปีแรกเรามีสมาชิกใหม่เข้ามาประมาณ 412 คน จากเป้าหมายทั้งปีของปี 2560 ตั้งไว้ที่ 678 คน เท่ากับว่าปัจจุบันเรามีสมาชิกใหม่เข้ามาถึง 61% แล้วจากยอดที่ตั้งไว้ทั้งปี ปัจจุบันมีสมาชิกรวมทั้งหมด 4,348 คน (ยอด ณ วันที่ 2 พฤษภาคม 2560)
นอกจากนี้ นายพฤทธิ์ ยังได้กล่าวถึงแผนความร่วมมือ และแผนการทำตลาดร่วมกับเฮนลีย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์สฯ ว่า ไทยแลนด์ อีลิทคาร์ด มีแผนโรดโชว์ร่วมกับเฮนลีย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์สฯ โดยได้เปิดตัวไปแล้วที่ประเทศสิงคโปร์ และกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งถือว่าผลการตอบรับเป็นที่น่าพอใจ และยังมีแผนจะไปโรดโชว์ร่วมกับทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ประเทศญี่ปุ่น และเฮนลีย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์สฯ ที่ประเทศเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ และฮ่องกง ภายในปีนี้ จากความร่วมมือดังกล่าว ทางเฮนลีย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์สฯ ได้ตั้งเป้ายอดขายบัตรฯ ปีแรกไว้ที่ 200 ล้านบาท ปีที่ 2 จำนวน 300 ล้านบาท ปีที่ 3 จำนวน 400 ล้านบาท นั่นหมายถึงว่าหากเป็นไปตามเป้านี้ ในอนาคตรายได้ของไทยแลนด์ อีลิทคาร์ด จะอยู่ที่ประมาณปีละ 1,000 ล้านบาท (รวมกับเป้าที่ทางทีพีซีตั้งไว้ตอนนี้ 400 ล้านบาท) และเชื่อว่าในระยะเวลาไม่นานไทยแลนด์อีลิทคาร์ดจะสามารถสร้างรายได้ถึงปีละ 1,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน
“ต้องขอขอบคุณท่านรัฐมนตรีกอบกาญจน์ ที่ได้เข้ามาช่วยในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับทีพีซี เหมือนเป็นการรับประกันให้กับนักลงทุน และนักท่องเที่ยวว่าเราเป็นสินค้าของรัฐบาล ทั้งนี้ทางรัฐบาลยังต้องการเห็นสมาชิกบัตรของเราซึ่งเป็น Investment Immigration หรือ นักลงทุน (Investor) เข้ามาอยู่ในประเทศไทยมากขึ้นด้วย ซึ่งจะมีส่วนช่วยทางด้านเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศมากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามเราได้เปิดการขายให้กับกลุ่มลูกค้าต่างชาติทั่วไป ไม่ได้จำกัดชนชั้น และไม่ได้ผูกขาดกับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยปัจจุบันสมาชิกกว่า 4,348 คน จาก 6 กลุ่มประเทศอันดับแรก ได้แก่ อังกฤษ จีน สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และบังคลาเทศ” นายพฤทธิ์กล่าว และเสริมว่า
ปัจจุบัน บัตรไทยแลนด์ อีลิทคาร์ด มีทั้งสิ้น 7 ประเภท มีความหลากหลายทั้งด้านราคา และสิทธิประโยชน์ โดยมีราคาตั้งแต่ 5 แสน-2 ล้านบาท ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายโดยกลุ่มเป้าหมายมีทั้งชาวต่างชาติที่มีฐานะปานกลางจนถึงฐานะร่ำรวย รวมถึงกลุ่มที่เข้ามาเป็นครอบครัว โดยเป็นกลุ่มชาวต่างชาติที่รักเมืองไทย ต้องการอยู่อาศัย และลงทุนในประเทศไทย จากการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโด การเช่าบ้าน และคอนโด และการใช้จ่ายในประเทศไทย นับเป็นการลงทุนในประเทศไทยอย่างหนึ่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวทั่วไปใช้ระยะเวลาแค่ไม่กี่วันในประเทศไทย ในขณะที่กลุ่มสมาชิกพำนักหลายปี รวมถึงมีการลงทุนในรูปแบบต่างๆ (Investment Immigration) ทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทย ทั้งนี้บัตรไทยแลนด์ อีลิทคาร์ด 7 ประเภท ได้แก่
1.) บัตร “อีลิท อูทิเมท พริวิเลจ (Elite Ultimate privilege)” หรือแพคเกจหลักราคา 2 ล้านบาท อายุบัตร 20 ปี มาพร้อมสิทธิประโยชน์แบบเต็มรูปแบบ สำหรับผู้อยู่อาศัยในระยะยาว ทั้งบริการรถลิมูซีนระยะสั้นอย่างไม่จำกัด กอล์ฟ สปา จำนวน 24 ครั้งต่อปี บริการตรวจเช็คร่างกาย 1 ครั้งต่อปี
2.) บัตร “อีลิท แฟมิลี่ พรีเมี่ยม (Elite Family Premium)” จะเป็นแพคเกจที่พ่วงกับ “อีลิท อูทิเมท พริวิเลจ” สำหรับบุคคลในครอบครัว ในราคา 1 ล้านบาท โดยอายุบัตรขึ้นอยู่กับบัตรหลัก พร้อมให้บริการรถลิมูซีนระยะสั้นอย่างไม่จำกัด กอล์ฟ สปา จำนวน 10 ครั้งต่อปี
3.) บัตร “อีลิทอีซี่ แอสเซส (Elite Easy Access)” ราคา 5 แสนบาท อายุบัตร 5 ปี สำหรับการเข้าออกในประเทศไทยระยะสั้น สำหรับท่านที่เดินทางคนเดียว และสามารถอัพเกรดเป็นแพคเกจหลักได้ มาพร้อมบริการรถลิมูซีนระยะสั้น จำนวน 24 ครั้งต่อปี
4.) บัตร “อีลิทแฟมิลี เอ็กซ์เคอร์ชั่น (Elite Family Excursion)” ราคา 8 แสนบาท อายุบัตร 5 ปี เพื่อการเข้าออกในประเทศไทยระยะสั้น เหมาะกับกลุ่มครอบครัวโดยเฉพาะ ด้วยราคาพิเศษสำหรับ 2 ท่านเป็นต้นไป เจาะกลุ่มนักธุรกิจ ครอบครัวที่ลูกศึกษาในไทย หรือผู้ที่เข้ามาพักผ่อนระยะสั้นๆ เป็นครอบครัว
5.) บัตร “อีลิทแฟมิลี่ อัลเทอร์เนทีฟ (Elite Family Alternative)” ราคา 8 แสนบาท อายุ 10 ปี เป็นบัตรที่เหมาะทั้งมาเดี่ยวและมาเป็นครอบครัว ในการพำนักระยะยาว เหมาะกับผู้อยู่อาศัยระยะยาว ไม่ว่าจะทำงาน หรือพักผ่อน
6.) บัตร “อีลิทพริวิเลจแอคเซส (Elite Privilege Access)” ราคา 1 ล้านบาท อายุบัตร 10 ปี อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการอาศัยในประเทศไทยในระยะยาว ไม่ว่าจะมาเดี่ยวหรือมาเป็นครอบครัว และมีการเดินทางเข้าออกบ่อยครั้ง
7.) บัตร “อีลิทซูพีเรียริตี้เอ็กซ์เทนชั่น (Elite Superiority Extension)” ราคา 1 ล้านบาท อายุบัตร 20 ปี สำหรับผู้ต้องการอาศัยในประเทศไทยระยะยาวโดยไม่ต้องกังวลใจ เหมาะกับกลุ่มเกษียณอายุ หรือผู้ที่ต้องการพำนักในประเทศไทยในระยะยาว